ฎีกาที่ ๕๕๕๓ / ๒๕๔๒ | การบอกกล่าวการจำนอง | |||||||||||||||||||
ในกรณีเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รับจำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนอง กฎหมายบังคับให้เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าว | ||||||||||||||||||||
เป็นหนังสือไปยังผู้จำนองซึ่งเป็นลูกหนี้และต้องกำหนดเวลาอันสมควรเพื่อให้โอกาสผู้จำนองชำระหนี้จำนอง การ | ||||||||||||||||||||
บอกกล่าวจึงเป็นเงื่อนไขที่ผู้รับจำนองจะต้องกระทำให้ถูกต้องก่อน จึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ การบอกกล่าวดังกล่าว | ||||||||||||||||||||
เป็นการแสดงเจตนาที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนาซึ่งกฎหมายกำหนดคือผู้จำนอง ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ส.ผู้จำ | ||||||||||||||||||||
นองถึงแก่กรรมก่อนโจทก์มีหนังสือบอกกล่าว แม้จะมีผู้อื่นรับหนังสือนั้นไว้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำ | ||||||||||||||||||||
นองที่ชอบด้วย ปพพ. มาตรา ๗๒๘ | ||||||||||||||||||||
เมื่อ ส. ผู้จำนองถึงแก่กรรมมรดกรวมตลอดถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดย่อมตกทอดแก่ทายาทของ ส. | ||||||||||||||||||||
ตาม ปพพ. มาตรา ๑๕๙๙, ๑๖๐๐ ถ้ามีผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองแล้ว หากโจทกืประสงค์จะบังคับจำนองต้องมีจด | ||||||||||||||||||||
หมายบอกกล่าวแก่ผู้รับโอนล่วงหน้า ๑ เดือนก่อน ตาม ปพพ. มาตรา ๗๓๕ ถ้ายังไม่ปรากฎว่าผู้ใดเป็นผู้รับโอน | ||||||||||||||||||||
ทรัพย์สินซึ่งจำนอง แต่ ส. ผู้จำนองมีทายาทหรือผู้จัดการมรดก โจทก์ต้องบอกกล่าวเป็นจดหมายหรือหนังสือล่วง | ||||||||||||||||||||
หน้าอย่างน้อย ๑ เดือนแก่บุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นเสมียนผู้รับโอนทรัพย์สินที่จำนองจึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ เมื่อ | ||||||||||||||||||||
โจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทผู้จำนองก่อนฟ้อง และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยถือไม่ได้ว่า | ||||||||||||||||||||
เป้นการบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง | ||||||||||||||||||||
ฎีกาที่ ๓๖๒๙ / ๒๕๓๘ | ไม่ผิดลักทรัพย์ | |||||||||||||||||||
ผู้เสียหายส่งธนบัตรฉบับละ ๑๐๐ บาท ให้แก่จำเลย เพื่อชำระหนี้ค่าโดยสารรถเป็นเงิน ๕ บาท ถือว่า | ||||||||||||||||||||
ผู้เสียหายมอบการครอบครองธนบัตรดังกล่าวให้แก่จำเลย การที่จำเลยไม่ได้ทอนเงินให้ทันทีหรือแม้ไม่มีเจตนาจะ | ||||||||||||||||||||
ทอนเงินให้โดยจะเอาเงินที่เหลือจำนวน ๙๕ บาท เป็นประโยชน์ของตนโดยทุจริต ก็ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ | ||||||||||||||||||||
เพราะเจตนาทุจริตเกิดขึ้นภ่ยหลังที่ธนบัตรอยู่ในความครอบครองของจำเลยแล้ว | ||||||||||||||||||||
ฎีกาที่ ๖๐๙ / ๒๕๓๖ | ไม่ผิดฉ้อโกง | |||||||||||||||||||
จำเลยกับพวกได้หลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้ได้ไปซึ่งหนังสือรับรองการทำ | ||||||||||||||||||||
ประโยชน์ ( น.ส.๓ ก ) ซึ่งเป็นของจำเลย และจำเลยนำมามอบให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้เป็นประกันตามสัญญาจะซื้อ | ||||||||||||||||||||
ขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ร่วมได้ชำระราคาที่ดินให้จำเลยไปครบถ้วนแล้ว | ||||||||||||||||||||
โดยจำเลยหลอกลวงว่าจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยไปเป็นประกันที่ศาล โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึง | ||||||||||||||||||||
มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยไป ความจริงจำเลยไม่ได้มีคดีเป็นประกันที่ศาล แต่เมื่อได้ความว่า | ||||||||||||||||||||
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ยังเป็นของจำเลยเอง จึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ร่วม | ||||||||||||||||||||
จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง | ||||||||||||||||||||
ฎีกาที่ ๒๗๐๕ / ๒๕๔๓ | ||||||||||||||||||||
แม้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ ( น.ส.๓) เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียว แต่ตามสภาพเป็นวัตถุมี | ||||||||||||||||||||
รูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ จึงเป็นทั้งทรัพย์และทรัพย์สิน ตาม ปพพ. มาตรา ๑๓๗ , ๑๓๘ | ||||||||||||||||||||
ฎีกาที่ ๓๐๗๔ / ๒๕๓๙ | ไม่ผิดฉ้อโกงประชาชน | |||||||||||||||||||
จำเลยโดยทุจริตหลอกลวงประชาชนทั่วไปรวมทั้งผู้เสียหายว่าจำเลยเป็นคนทรงเจ้าสามารถทำพิธี | ||||||||||||||||||||
เสริมดวงชะตาและทำการขจัดสิ่งชั่วร้ายต่างๆให้กลายเป็นดีได้ จำเลยชักชวนแนะนำให้ผู้เสียหายซื้อบ้าน ที่ดิน | ||||||||||||||||||||
และคอนโดมิเนียมจากผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยกล่าวหลอกลวงผู้เสียหายทั้ง ๕ อีกว่าผู้เสียหายทั้ง ๕ ดวงไม่ดีต้อง | ||||||||||||||||||||
ซื้อผ้ายันต์ เครื่องราง ของขลังจากจำเลยไปบูชาดวงจะดีขึ้น และทำให้ผู้เสียหายทั้ง ๕ ทำมาค้าขายได้ดีและร่ำ | ||||||||||||||||||||
รวย ผู้เสียหายเชื่อตามคำหลอกลวงของจำเลย จึงให้เงินและทรัพย์สินรวม ๖๐ รายการแก่จำเลยเพื่อแลกเปลี่ยน | ||||||||||||||||||||
กับผ้ายันต์ เครื่องของขลังต่างๆซึ่งความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถทำพิธีเสริมดวงชะตา หรือขจัดสิ่งชั่วร้ายหรือกระ | ||||||||||||||||||||
ทำการใดๆตามที่กล่าวต่อผู้เสียหายทั้ง ๕ ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน | ||||||||||||||||||||
เนื่องจากว่าการกระทำดังกล่าวนั้นเป็นคำยืนยันเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนทั้งสิ้น คำยืนยันดังกล่าวไม่เป็น | ||||||||||||||||||||
คำหลอกลวง แต่เป็นคำคาดการณ์ที่ผู้เสียหายทั้ง ๕ เข้าทำพิธีตามคำแนะนำและเสียค่าใช้จ่าย จึงมิได้เป็นผลจาก | ||||||||||||||||||||
การหลอกลวง จำเลยจึงไม่มีความผิด | ||||||||||||||||||||
ผู้ค้ำประกัน | ( ม. ๖๘๐ , ๖๘๘ , ๖๘๙ , ๖๙๐ ๖๙๑ ) | |||||||||||||||||||
- ผู้ค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม | ||||||||||||||||||||
- ผู้ค้ำประกันทำสัญญารับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมแล้ว ( ไม่สามารถนำ ม. ๖๘๘ , ๖๘๙ , ๖๙๐ มาใช้ | ||||||||||||||||||||
บังคับไม่ได้ แต่สามารถยกเอาอายุความของลูกหนี้เป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ได้ ) | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๓๗๙๕ / ๒๕๔๐ จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันซึ่งรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมเท่านั้น หาใช่เป็นลูก | ||||||||||||||||||||
หนี้ร่วมในการเป็นคู่สัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทไม่ ผู้ค้ำประกันจึงเพียงแต่ไม่อาจยกข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกันขึ้น | ||||||||||||||||||||
ต่อเจ้าหนี้เท่านั้น แต่ผู้ค้ำประกันย่อมยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ ตาม ปพพ. ม.๖๙๔ ดังนี้ เมื่อสิทธิ | ||||||||||||||||||||
เรียกร้องของโจทก์ต่อกองมรดกของ ส. ขาดอายุความตาม ปพพ. ม. ๑๗๕๔ วรรค ๒ แล้ว จำเลยซี่งเป็นผู้ค้ำประ | ||||||||||||||||||||
กันย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทกืได้ | ||||||||||||||||||||
เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากลูกหนี้อันเนื่องมาจากการเลิกสัญญา แต่เมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความ | ||||||||||||||||||||
ตาย เจ้าหนี้จะต้องฟ้องร้องทายาทของลูกหนี้ภายใน ๑ ปี นับแต่ได้รู้ถึงความตายของลูกหนี้ตาม ปพพ.ม. ๑๗๕๔ | ||||||||||||||||||||
วรรค ๓ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๒๔๗ / ๒๕๔๑ จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน อ. แม้จะยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมก็เป็นการยอม | ||||||||||||||||||||
รับผิดร่วมกันกับลูกหนี้ตาม ปพพ.ม. ๖๙๑ มิได้ทำให้กลายเป็นลูกหนี้ร่วมเต็มตัวอย่างลูกหนี้ร่วมตาม ม. ๒๙๑ | ||||||||||||||||||||
จำเลยคงเสียสิทธิเพียงไม่อาจยกข้อต่อสู้ตาม ม. ๖๘๘ , ๖๘๙ และ ม. ๖๙๐ ขึ้นต่อสู้เท่านั้น นอกนั้นมิได้เสียสิทธิ | ||||||||||||||||||||
ของผู้ค้ำประกันตามบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันแต่อย่างใด ดังนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิตาม ม. ๖๙๔ ที่ยังอาจยก | ||||||||||||||||||||
ข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดที่จะแสดงให้ | ||||||||||||||||||||
เห็นว่าข้อต่อสู้ที่ลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ซึ่งค้ำประกันจะยกขึ้นได้ต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุความมรดก ทั้งในคดีนี้ไม่ใช่ | ||||||||||||||||||||
คดีมรดกเป็นเรื่องโจทก์จำเลยให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยย่อมใช้สิทธิตาม ม. ๖๙๔ ได้ จึงไม่เกี่ยวกับว่า | ||||||||||||||||||||
จำเลยจะเป็นบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๗๕๕ หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้อง | ||||||||||||||||||||
ต่อกองมรดกของ อ. ภายใน ๑ ปี นับแต่ทราบว่า อ. ถึงแก่ความตาย สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อกองมรดกของ อ. | ||||||||||||||||||||
จึงขาดอายุความตาม ม. ๑๗๕๔ วรรค ๓ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้อง | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๒๕๖๙ / ๒๕๔๑ แม้ ปพพ.มาตรา ๑๒๗๒ จะบัญญัติห้ามมิให้ฟ้องเรียกหนี้สินเฉพาะ | ||||||||||||||||||||
ที่ห้างหุ้นส่วนหรือผู้ที่เป็นลูกหนี้อยู่ในฐานะเช่นนั้นเมื่อพ้นกำหนด ๒ ปี นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชีก็ตาม | ||||||||||||||||||||
แต่ตามมาตรา ๖๙๔ ก็ได้บัญญัติไว้ว่านอกจากข้อต่อสู้ซึ่งผู้ค้ำประกันหรือจำเลยที่ ๑ มีต่อเจ้าหนี้หรือโจทก์นั้น ผู้ค้ำ | ||||||||||||||||||||
ประกันอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้หรือห้างดังกล่าวมีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย แม้สัญญาข้อ ๒ และข้อ ๕ | ||||||||||||||||||||
ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันจะปรากฎว่าจำเลยที่ ๑ ผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับห้างซึ่งเป็นลูกหนี้ | ||||||||||||||||||||
ในหนี้สินที่ลูกหนี้ยังคงมีอยู่ต่อธนาคารโจทก์ก็ตาม ก็หาทำให้จำเลยที่ ๑ ผู้ค้ำประกันเปลี่ยนฐานะเป็นลูกหนี้ชั้นต้น | ||||||||||||||||||||
และหมดสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ซึ่งห้างลูกหนี้มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ตาม ม. ๖๙๔ ไม่ ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ | ||||||||||||||||||||
ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของห้างจึงชอบที่จะยกอายุความ ๒ ปี ตาม ม. ๑๒๗๒ ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ และเมื่อนับแต่วัน | ||||||||||||||||||||
ถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ก. จนถึงวันฟ้องเกินกำหนด ๒ ปีแล้ว ฟ้องโจทก์เกี่ยว | ||||||||||||||||||||
กับจำเลยที่ ๑ จึงขาดอายุความ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๑๗๘๕ / ๒๕๐๕ ระบุข้อกำหนดไว้ในสัญญาค้ำประกัน เป็นหนทางแก้ที่ผู้ค้ำประกัน | ||||||||||||||||||||
อ้างเอาอายุความยกเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ได้ | ||||||||||||||||||||
ห้างหุ้นส่วน | ( ม. ๑๐๗๗ ) | มี ๒ ประเภท | ||||||||||||||||||
๑. ห้างหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด | ||||||||||||||||||||
๒. ห้างหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด | ||||||||||||||||||||
- กรรมการผู้จัดการมีอำนาจในการดำเนินการกิจการ ( ในห้างหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด ) | ||||||||||||||||||||
- เมื่อห้างส่วนส่วนจำกัดผิดนัดไม่ชำระหนี้ ( เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกบุคคลให้ชำระหนี้ได้ทันที ) มี | ||||||||||||||||||||
บุคคลดังนี้. คือ ( ฎีกาที่ ๕๙๐ / ๒๕๒๐ ) | ||||||||||||||||||||
(๑). ห้างหุ้นส่วนจำกัด | ||||||||||||||||||||
(๒). หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด หรือ กรรมการผู้จัดการ | ||||||||||||||||||||
- จะฟ้องหุ้นส่วนจำกัดความรับผิด ได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจำพวกจำกัด | ||||||||||||||||||||
ความรับผิด ( ต้องรับผิดโดยไม่จำกัดจำนวน ตาม ม. ๑๐๘๘ ) ( ฎีกาที่ ๕๘๔๔ / ๒๕๓๗ ) | ||||||||||||||||||||
วางยาพิษเพื่อฆ่าพระ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๒๘๓๒ / ๒๕๓๘ | ||||||||||||||||||||
มอบสร้อยคอทองคอ (ตกทอง ) | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๕๔๓๙ / ๒๕๔๑ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๔๒๐๘ / ๒๕๒๕ | ||||||||||||||||||||
จำนอง | ||||||||||||||||||||
- ข้อตกลงในสัญญาจำนอง ตาม ปพพ. ม. ๗๑๑ ( ผู้จำนองกับผู้รับจำนอง ) | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๗๐๐๗ / ๒๕๐๖ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๑๕๑๐ / ๒๕๔๒ ( มอบอำนาจโอนทรัพย์จำนองชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ) | ||||||||||||||||||||
- ผลคือ ไม่สมบูรณ์ตาม ปพพ.ม. ๗๑๑ เท่านั้น ( เฉพาะข้อตกลง ) | ||||||||||||||||||||
- ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่ชำระและได้ตกลงกันไว้ สามารถบังคับได้ตาม ม. ๓๒๑ ( ฎีกาที่ | ||||||||||||||||||||
๓๐๐ / ๒๕๐๖ , ฎีกาที่ ๒๙๘ / ๒๕๑๗ | ||||||||||||||||||||
เช่าทรัพย์ | ||||||||||||||||||||
- การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ เพราะผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า ต้องปฎิบัติตาม ม. ๕๖๐ | ||||||||||||||||||||
- การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ ที่ไม่มีกำหนดเวลา ต้องปฎิบัติตาม ม. ๕๖๖ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๔๕๘๕ / ๒๕๓๓ เทียบ ฎีกาที่ ๓๖๓ / ๒๕๐๙ ( สัญญาเช่าทำเป็นหนังสือเกินกว่า ๓ ปี ) | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๔๑๐๖ / ๒๕๒๘ เทียบ ฎีกาที่ ๗๓๗ / ๒๕๐๑ เดิม ถูกพิพากษากลับโดย ฎีกาที่ ๒๑๙๖ / ๒๕๔๕ | ||||||||||||||||||||
( สัญญาเช่าเกินกว่า ๓ ปี โดยไม่ได้จดทะเบียน ) | ||||||||||||||||||||
ลักทรัพย์ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๗๒๖๔ / ๒๕๔๓ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ในมูลหนี้มาตรา ๓๔๑ ( ฉ้อโกง ) | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๙๐๙๓ / ๒๕๔๔ โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เช่า โดยได้ทำสัญญาประนีประ | ||||||||||||||||||||
นอมยอมความกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยยกเครื่องปรับอากาศที่อยู่ในบ้านเช่าให้โจทก์ไป ต่อมาจำเลยกลับได้เอา | ||||||||||||||||||||
เครื่องปรับอากาศดังกล่าวไปเป็นของตนเอง โจทก์จึงฟ้องบังคับจำเลยในฐานความผิดลักทรัพย์ ( จำเลยผิดตาม | ||||||||||||||||||||
มาตรา ๓๓๔ เพราะเครื่องปรับอากาศได้ตกเป็นของโจทก์ตั้งแต่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว เมื่อจำ | ||||||||||||||||||||
เลยเอาไปจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ แล้วการที่จำเลยรื้อเครื่องปรับอากาศออกทำให้ฝาบ้านขูดขีดเสียหายนั้น | ||||||||||||||||||||
ไม่เป็นการทำให้เสียทรัพย์แต่อย่างใด เพราะว่าเป็นผลธรรมดาที่จะเสียหายได้ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๕๘ / ๒๕๔๖ ตัวผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ไปเฉี่ยวกับรถยนต์เก๋ง ทำให้รถล้มลงผู้เสียหายศอก | ||||||||||||||||||||
กระแทกกับพื้น ต่อมาจำเลยที่ ๑ , ๒ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาประสบเหตุจึงทำท่าทีว่าจะช่วยเหลือไปส่งที่บ้าน | ||||||||||||||||||||
โดยจำเลยที่ ๑ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ ๒ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของตนโดยได้ให้ผู้ | ||||||||||||||||||||
เสียหายนั่งซ้อนท้ายไปด้วย โดยให้จำเลยที่ ๑ ขับนำหน้า ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้นได้ตามหลัง ต่อมาได้มาถึงทางแยก | ||||||||||||||||||||
เข้าบ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ กลับได้เร่งเครื่องยนต์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายหลบหนีไป เมื่อผู้เสียหายได้พบ | ||||||||||||||||||||
เห็นดังกล่าวจึงได้บอกให้จำเลยที่ ๒ ขับขี่ติดตามไป แต่จำเลยที่ ๒ ได้ใช้ศอกกระแทกผู้เสียหายจนตกจากรถ | ||||||||||||||||||||
แล้วได้ขับขี่หลบหนีไป ดังนี้จำเลยที่ ๑,๒ จึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ ( ตามมาตรา ๓๓๙ + ๘๓ ) | ||||||||||||||||||||
มอบอำนาจจากห้างหุ้นส่วนให้ฟ้องแทน | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๔๙๕๓ / ๒๕๓๖ หจก.มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีเช็ค โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับคดีเช็ค โจทก์ | ||||||||||||||||||||
ซึ่งได้รับมอบอำนาจจาก หจก.นั้น โดย ส. กรรมการผู้จัดการได้มอบอำนาจลงวันที่ในใบมอบอำนาจ แล้วจากที่ ส. | ||||||||||||||||||||
ลาออกจากกรรมการผู้จัดการ ( มาตรา ๑๑๖๗ , ๘๒๖ , ๘๒๗ , ๑๑๕๐ , ๑๑๑๑ , ๓๘๖ , ๑๐๒๓ ) ฎีกาที่ ๔๙๔๙ | ||||||||||||||||||||
/ ๒๕๓๖ . | ||||||||||||||||||||
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ + โดยทุจริต | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๑๑๗๘ / ๒๕๓๙ จำเลยกับพวกขับขี่รถจักรยานยนต์สวนทางกับผู้ใช้รถใช้ถนน โดยได้ใช้ก้อนกินซึ่ง | ||||||||||||||||||||
มีขนาดโตเท่ากับกำปั้นขว้างรถยนต์บรรทุกที่ผ่านมาทำหใกระจกรถแตกได้รับความเสียหาย และรถโดยสารมีผู้เสีย | ||||||||||||||||||||
หายนั่งโดยสารมาด้วย เสียหลักพลิกคว่ำ ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดย | ||||||||||||||||||||
เจตนา ตามมาตรา ๒๘๘ + ๘๐ และความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามมาตรา ๓๕๘ | ||||||||||||||||||||
ความผิดเกี่ยวกับเจ้าพนักงานตามาตรา ๑๔๓ , ๑๔๘ , ๑๔๙ | ||||||||||||||||||||
- ถ้าราษฎรให้สินบน ( ผิดมาตรา ๑๔๔ ) | ||||||||||||||||||||
- เจ้าพนักงานเรียกสินบน ( ผิดตามมาตรา ๑๔๓ , ๑๔๙ ) และจะเกี่ยวข้องกับการริบทรัพย์ทรัพย์สินตาม | ||||||||||||||||||||
มาตรา ๓๔ ด้วย | ||||||||||||||||||||
ข้อแตกต่างระหว่างมาตรา ๑๔๘ กับมาตรา ๑๔๙ | ||||||||||||||||||||
มาตรา ๑๔๘ | มาตรา ๑๔๙ | |||||||||||||||||||
เจ้าพนักงานใช้อำนาจตำแหน่งโดยมิชอบ | เจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยชอบ แล้วเรียกเอาเงิน | |||||||||||||||||||
เพื่อจะไม่ปฎิบัติหน้าที่ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๓๓๐๙ / ๒๕๔๑ คดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ที่ได้ใช้บุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่ตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ | ||||||||||||||||||||
ทางหลวงเอง ไปเรียกรับเงินรถยนต์บรรทุกที่วิ่งผ่านไปมา สำหรับรถยนต์คันที่ถูกต้อง( ไม่มีความผิด )จะผิดมาตรา | ||||||||||||||||||||
๑๔๘ แต่สำหรับรถยนต์คันที่ผิดกฎหมาย ( มีความผิด ) จะผิดกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๙ | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๕๐๙๖ / ๒๕๔๐ จำเลยมิได้เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ได้มาหาผู้เสียหายโดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำ | ||||||||||||||||||||
รวจ พร้อมกับได้บอกผู้เสียหายว่ามีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำ ถ้าเอาเงินจำนวน ๒,๐๐๐ บาทมาให้จะลบชื่อออกจากบัญชีดัง | ||||||||||||||||||||
กล่าว ผู้เสียหายจึงมอบเงินให้กับจำเลยไป ( จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๔๕ , ๓๓๗ ) | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๒๖๔๕ / ๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ ไปชกต่อยผู้เสียหายเพื่อบังคับให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงิน ( ถือว่าจำ | ||||||||||||||||||||
เลยมีความผิดตามมาตรา ๓๓๗ ) ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน ) และผิดตามมาตรา ๒๙๕ อีกกระทงหนึ่ง | ||||||||||||||||||||
- ฎีกาที่ ๕๔๘๓ / ๒๕๔๓ ( ไม้เป็นประโยชน์ในลักษณะทรัพย์สิน ) จำเลยพกพาอาวุธปืนไปที่ร้านอาหาร | ||||||||||||||||||||
ของผู้เสียหาย แล้วร้องบอกนาย จ.ลูกจ้างของผู้เสียหายออกจากร้านไป ถ้าไม่ไปจะปิดร้านใส่กุญแจ การกระทำ | ||||||||||||||||||||
ดังกล่าวของจำเลยที่ให้นาย จ.ออกจากร้านไปนั้น ( ไม่เป็นความผิดฐานกรรโชกตามมาตรา ๓๓๗ ) โดยไม่ได้เป็นใน | ||||||||||||||||||||
ลักษณะประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สินแต่อย่างใด |
30.7.11
สรุปฎีกาของ อ.ประเสริฐ ( ชุดเก็งข้อสอบ )
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment