สรุปกฎหมายลักษณะพยาน
การรับฟังพยานบุคคล
ประเด็นที่ 1 ความหมายพยานบอกเล่า
พยานบุคคลหมายถึง บุคคลที่มาเบิกความต่อศาลและการเบิกความของพยานบุคคลจะเป็นการเบิกความจากความทรงจำของตนจากสิ่งที่ตัวเองได้ประสบพบเห็นมา
ข้อสังเกต
(1) พยานบุคคลอาจเป็นพยานวัตถุก็ได้
(2) บุคคลที่มาพูดหรือติดต่อศาลไม่ได้หมายความว่าเป็นพยานบุคคลเสมอไป เพราะจะเป็นพยานได้ต้องยื่นระบุบัญชีพยานด้วย(ฎ.145/2522,3130/2523)
วินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลย ไม่ได้ยื่นระบุบัญชีพยาน แต่อ้างตนเองเป็นพยานและนำตัวเองเข้าสืบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลไม่ยอมให้สืบเพราะไม่ได้ระบุบัญชีพยาน แม้จะอ้างว่าเป็นโจทก์หรือคู่ความก็ตาม
พยานบุคคลจะเบิกความถึงเหตุการณ์ในอดีต
ตรรกของการเบิกความของพยานบุคคลประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
· การสัมผัสกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
· การจดจำ
· การถ่ายทอด
หลักเกณฑ์ในการรับฟังพยานบุคคลแบ่งได้ 3 หลักคือ
· ความสามารถในการที่จะเป็นพยาน
· ลักษณะของความใกล้ชิดกับข้อเท็จจริงของพยาน
· ลักษณะของการถ่ายทอดข้อเท็จจริง
พยานบอกเล่าตามกฎหมายไทย
มาตรา 95 ห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลใด เว้นแต่บุคคลนั้น
(1) สามารถเข้าใจและตอบคำถามได้ และ
(2) เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง แต่ความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น
บทบัญญัติว่าด้วยการห้ามรับฟังพยานบอกเล่าของไทยต่างจากหลักสากลอยู่หลายประการ
ประการที่ 1 มาตรา 92 ใช้กับพยานบุคคลเท่านั้น ไม่ใช้กับพยานเอกสารหรือพยานวัตถุ
พยานบอกเล่าจะมีสิ่งที่สำคัญเกี่ยวเนื่อง 3 สิ่ง
· ตัวบุคคลที่ไปประสบพบเห็นข้อเท็จจริงหรือที่เรียกว่าผู้บอกเล่า
· ข้อความที่เขาบอกเล่าซึ่งมีลักษณะเป็นการติดต่อสื่อวารระหว่างผู้บอกเล่ากับพยานบอกเล่า
· ตัวพยานบอกเล่า
มาตรา 95(2) ห้ามรับฟังพยานบอกเล่าเฉพาะสื่อที่เป็นบุคคลเท่านั้น แต่ถ้าบุคคลที่ไปประสบพบเห็นเหตุการณ์และถ่ายทอดลงสื่ออื่นเช่นในเอกสารหรือวัตถุต่างๆ ก็ไม่ต้องห้ามรับฟังตามมาตรา 95(2) เพราะบันทึกดังกล่าวไม่ใช่พยานบุคคล
· แนวฎีกาถือว่า คำให้การชั้นสอบสวน เป็นพยานบอกเล่า(ฎ.3825/2524,2957/2532)
ประการที่ 2 การที่บุคคลมาเป็นพยานแล้วเบิกความถึงคำบอกเล่าของผู้อื่น หรือเบิกความถึงคำกล่าวหรือคำพูดของคนอื่นไม่ได้หมายความว่าพยานบุคคลนั้นจะเป็นพยานบอกเล่าเสมอไป ต้องดูจุดประสงค์การนำพยานนั้นมาสืบด้วย เพราะถ้าพยานนั้นเบิกความถึงคำพูดหรือคำกล่าวของคนอื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่ามีการกล่าวคำพูดนั้นจริงๆเช่นนี้ การนำสืบเพื่อพิสูจน์ความมีอยู่ของคำพูดหรือคำกล่าวนั้น ดังนั้น เมื่อตัวพยานบุคคลได้ยินการกล่าวข้อความมาด้วยตนเอง พยานบุคคลนั้นก็จะเป็นประจักษ์พยาน ไม่ใช่พยานบอกเล่า(ฎ.266/2488)
ประการที่ 3 คำบอกเล่าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เป็นประเด็นแห่งคดีหรือเกี่ยวเนื่องกับประเด็นแห่งคดี ไม่ถือว่าเป็นพยานบอกเล่า
ฎีกาที่ 304/2500 ตำรวจเป็นพยานเบิกความว่าพอเกิดเหตุแล้วจำเลยได้ออกมาจากที่เกิดเหตุฆาตกรรมมีผู้ดเดินตามจำเลยออกมาและชี้บอกแก่ตำรวจให้จับจำเลยเป็นคนแทงผู้ตาย คำของตำรวจเป็นพยานชั้นหนึ่งไม่ใช่พยานบอกเล่าเพราะคำบอกเล่าของผู้ที่ตามจำเลยออกมานั้นเป็นคำบอกเล่าในขณะที่กระชั้นชิดทันทีซึ่งตามธรรมชาติยังไม่ทันมีช่องโอกาสแกล้งปรักปรำ ศาลรับฟังประกอบพฤติเหตุอื่นๆลงโทษจำเลยได้
ฎีกาที่ 308/2510 ผู้ตายคิดว่าตนเองจะยังไม่ตายได้บอกกำนันระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ยงิตนโดยไม่ปรากฏว่าในขณะนั้นผู้ตายมีสติฟั่นเฟือนเพราะความเจ็บปวดหรือสำคัญผิดในตัวคนร้ายหรือคาดคะเนคนร้ายโดยพลการแต่ประการใด คำบอกเล่าเช่นนี้รับฟังได้ในฐานะเป็นคำบอกกล่าวในเวลากระชั้นชิดกับเหตุการณ์ที่ยังไม่มีโอกาสที่ผู้บอกเล่าจะคิดใส่ความได้ทัน เป็นพฤติการณ์ประกอบพยานโจทก์นำไปสู่การติดตามรู้ตัวผู้กระทำผิดและได้พยานหลักฐานอื่น(ฎีกานี้ ผู้ตายไม่คิดว่าตนเองจะตาย ทำให้คำบอกเล่าของเขาไม่เข้าข้อยกเว้นเรื่องคำบอกเล่าในขณะที่รู้ตัวว่าใกล้จะตาย)
ฎีกาที่ 4418/2533 คำให้การรับสารภาพของจำเลยโดยสมัครใจในชั้นสอบสวนและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพนั้น ศาลรับฟังประกอบคำเบิกความของบิดาผู้เสียหายซึ่งได้รับฟังคำบอกเล่าของผู้เสียหายในโอกาสแรกที่พบกันหังเกิดเหตุและมีสาระสำคัญตรงกัน ลงโทษจำเลยฐานพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงได้
ประเด็นที่ 2 หลักการห้ามรับฟังพยานบอกเล่า
ให้ดูมาตรา 85 , 86 ,87 , 93 , 94 , 95
มาตรา 85 คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่ต้องนำสืบข้อเท็จจริงย่อมมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบได้ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐาน
มาตรา 86 เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ก็ดี หรือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้
เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดฟุ่มเฟือยเกินสมควรหรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น ให้ศาลมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นหรือพยานหลักฐานอื่นต่อไป
เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม ให้ศาลทำการสืบพยานหลักฐานต่อไป ซึ่งอาจรวมทั้งการที่จะเรียกพยานที่สืบแล้วมาสืบใหม่ด้วยโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ
มาตรา 87 ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่
(1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ และ
(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 88 และ 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
มาตรา 93 การอ้างเอกสารเป็นพยานนั้นให้ยอมรับฟังได้แต่ต้นฉบับเอกสารเท่านั้น เว้นแต่
(1) เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว จึงให้ศาลยอมรับฟังสำเนาเช่นว่านั้นเป็นพยานหลักฐานแห่งเอกสารนั้นได้
(2) ถ้าต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้ เพราะสูญหาย หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้
(3) ต้นฉบับเอกสารที่อยู่ในความอารักขาหรือในความควบคุมของทางราชการนั้น จะนำมาแสดงได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตของรัฐมนตรี หัวหน้ากรม กอง หัวหน้าแผนกหรือผู้รักษาการแทนในตำแหน่งนั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีเสียก่อนอนึ่ง นอกจากศาลจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น สำเนาเอกสาร หรือข้อความที่คัดจากเอกสารเหล่านั้น ซึ่งรัฐมนตรี หัวหน้ากรม กอง หัวหน้าแผนกหรือผู้รักษาการแทนในตำแหน่งนั้น ๆ ได้รับรองถูกต้องแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันเพียงพอในการที่จะนำมาแสดง
มาตรา 94 เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93 และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด
มาตรา 95 ห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลใดเว้นแต่บุคคลนั้น
(1) สามารถเข้าใจและตอบคำถามได้ และ
(2) เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง แต่ความในข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งหรือคำสั่งของศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น
ถ้าศาลไม่ยอมรับไว้ซึ่งคำเบิกความของบุคคลใด เพราะเห็นว่าบุคคลนั้นจะเป็นพยานหรือให้การดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ และคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องร้องคัดค้านก่อนที่ศาลจะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลจดรายงานระบุนามพยาน เหตุผลที่ไม่ยอมรับและข้อคัดค้านของคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องไว้ ส่วนเหตุผลที่คู่ความฝ่ายคัดค้านยกขึ้นอ้างนั้น ให้ศาลใช้ดุลพินิจจดลงไว้ในรายงานหรือกำหนดให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นคำแถลงต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสำนวน
Ø ระบบคอมมอนลอร์การนำพยานเข้าสู่ศาลและการใช้พยานในการวินิจฉัยคดีมีขั้นตอนที่สำคัญ 2 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนแรก เป็นการวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานนั้นจะรับฟังได้หรือไม่(ADISSIBILITY)
ขั้นตอนที่สอง การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน
สรุป การห้ามมิให้รับฟัง ตามมาตรา 86,87,93,94,95 ไม่ได้หมายความว่า ห้ามรับฟังโดยเด็ดขาด แต่ศาลมีดุลพินิจที่จะนำพยานมาประเมินหรือชั่งน้ำหนักได้ แต่ต้องให้น้ำหนักน้อยกว่าพยานที่รับฟังได้
ฎีกาที่ 3825/2524 คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนเป็นพยานหลักฐานอย่างหนึ่งที่จะนำมาประกอบการวินิจฉัยในการรับฟังเกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งพฤติการณ์ และการกระทำทั้งหลายนั้นได้ ไม่มีบทบัญญัติกม.ใดห้ามไว้โดยเด็ดขาด(ฎ.3620/2524)
ฎีกาที่ 2957/2532 คำให้การของผู้รู้เห็นเหตุการณ์ในชั้นสอบสวนไม่มีกม.บัญญัติมิให้รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่น ดังนั้น ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของพยานดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นและพฤติการณ์ในคดีลงโทษจำเลยได้
ประเด็นที่ 3 ข้อยกเว้นในการรับฟังพยานบอกเล่า
ตามมาตรา 95(2) ตอนท้ายได้บัญญัติว่า แต่ความข้อนี้ให้ใช้ได้ต่อเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกม.โดยชัดแจ้งหรือคำสั่งศาลว่าให้เป็นอย่างอื่น
ความข้อนี้ก็คือบทบัญญัติที่ห้ามรับฟังพยานบุคคลเว้นแต่ จะเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง
ป.วิ.อาญามีมาตรา 134 เท่านั้นที่เป็นบทบัญญัติของกม.ที่บัญญัติให้รับฟังพยานบอกเล่าได้
สรุป ข้อยกเว้นในการรับฟังพยานบอกเล่า
ข้อยกเว้นประการแรก คำบอกเล่าที่เป็นคำรับของคู่ความฝ่ายตรงข้าม
หมายถึง ข้อความซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งได้บอกเล่า(ด้วยวาจา,ลายลักษณ์อักษร,หรือการสื่อความหมายอย่างใด) ต่อบุคคลอื่น แล้วคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างบุคคลอื่นนั้นเป็นพยาน
ฎีกาที่ 1057/2525 โจทก์จำเลยพิพาทกันว่าใครมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ข้อความที่จำเลยเคยกล่าวต่อบุคคลภายนอกว่าจำเลยรับจำนำที่นาพิพาทไว้จากโจทก์ เป็นคำกล่าวที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของตนใช้ยันจำเลยได้ เพราะการที่จำเลยเคยพูดยอมรับว่าตนรับจำนำที่นาไว้จากโจทก์ย่อมเท่ากับจำเลยยอมรับว่าตนไม่ใช่เจ้าของ เพราะเจ้าของจะรับจำนำทรัพย์ของตนเองไม่ได้ ดังนั้น พยานบุคคลปากนี้จึงมีประโยชน์แก่ฝ่ายโจทก์ที่จะพิสูจน์ว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของที่พิพาท
ฎีกาที่ 1819/2532 จำเลยยอมรับต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่กรมตำรวจว่าจำเลยเป็นผู้แก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในบันทึกขอบรรจุข้าราชการตำรวจ ซึ่งผู้บังคับบัญชาของจำเลยเคยเสนอแต่งตั้งจำเลยให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น คำบอกเล่าเช่นนี้ ทำให้ตนเสียเปรียบหรือเสียประโยชน์สามารถรับฟังได้
ข้อยกเว้นข้อที่ 2 คำบอกเล่าของบุคคลซึ่งตายไปแล้ว
หมายความว่าเป็นคำบอกเล่าหรือเป็นคำกล่าวซึ่งบุคคลคนหนึ่งได้บอกเล่าไว้แก่บุคคลอื่นอาจจะด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรแล้วต่อมาผู้บอกเล่าถึงแก่ความตายก่อนที่จะเข้าเบิกความเป็นพยาน
เงื่อนไขที่จะรับฟังคำบอกเล่าของบุคคลที่ตายไปแล้ว มีหลายกรณีด้วยกันดังนี้
(๑) คำบอกเล่าที่ปรปักษ์ต่อผลประโยชน์ของตน
ที่รับฟังได้เพราะบุคคลทั่วไปไม่มีมูลเหตุจูงใจที่จะกล่าวเท็จให้ตรงเองเสียประโยชน์ แต่บุคคลอาจจะกล่าวเท็จให้ตัวเองได้ประโยชน์ได้
(๒) คำบอกเล่าที่ทำในหน้าที่การงาน
หมายถึงคำบอกเล่าหรือคำกล่าวของบุคคลซึ่งทำขึ้นในหน้าที่การงานของเขาและต่อมาผู้บอกเล่าถึงแก่ความตาย โดยมีเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ
2.1 เป็นคำบอกเล่าเกี่ยวกับกิจการซึ่งผู้บอกเล่ากระทำอยู่เป็นปกติ
2.2 ผู้บอกเล่าจะต้องมีหน้าที่ในการบอกเล่าหรือทำบันทึกนั้น
2.3 คำบอกเล่านั้นทำขึ้นในระยะใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
(๓) คำบอกเล่าเกี่ยวกับสิทธิสาธารณะหรือสิทธิที่ประชาชนมีอยู่ร่วมกัน
สิทธิสาธารณะหมายถึงสิทธิที่ประชาชนมีอยู่ในสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน
สิทธิที่ประชาชนมีอยู่ร่วมกันหมายถึง ทรัพย์สินนั้นอาจจะไม่ใช่สาธารณสมบัติแผ่นดินแต่เป็นทรัพย์สินที่เป็นส่วนกลางและประชาชนสามารถเข้าไปใช้สอยได้ร่วมกันเช่น ที่ดินของวัด ศาลาประชาคม ห้องสมุดประจำหมู่บ้าน ส่วนมากคำบอกเล่าประเภทนี้จะเป็นคำบอกเล่าเกี่ยวกับเขตของที่วัดหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดินว่ามีอาณาเขตอย่างไร(ฎ.1758-9/2516,863-5/2519)
ฎีกาที่ 863-5/2519 กรมศิลปากรเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยหลายคนที่เข้ามาอยู่ในเขตวัดศรีดอนคำ จังหวัดแพร่ กรมศิลปากร ได้นำสืบตำนานพระธาตุร่องอ้อซึ่งในตำนานดังกล่าวได้กล่าวถึงวัดห้วยอ้อซึ่งศร้างมาตั้งแต่โบราณกาลแล้วต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดศรีดอนคำ ตำนานนี้เขียนขึ้นเมื่อประมาณ 2403 โดยคัดลอกจากตำนานเดิมซึ่งเก็บอยู่ ณ หอพระแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ โดยตำนานได้พูดถึงอาณาเขตของวัดห้วยอ้อ นอกจากนี้ กรมศิลปากรยังนำสืบพยานบุคคลซึ่งรับฟังเรื่องต่อๆกันมาและรู้ถึงบันทึกและการจัดทำตำนานด้วย ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าวัดห้วยอ้อมีอาณาเขตตามที่บันทึกไว้ในตำนานนั้นจริง
(๔) คำบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องเครือญาติวงศ์ตระกูล
หมายถึงคำบอกเล่าเกี่ยวกับความเป็นญาติในวงศ์ตระกูลของบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งได้มีการบอกเล่ากันไว้ก่อนที่จะเกิดกรณีพิพาทและต่อมาผู้บอกเล่าถึงแก่ความตาย หรือไม่สามารถนำตัวมาเป็นพยานได้
(๕) คำบอกเล่าของบุคคลที่รู้สึกว่ากำลังจะตาย
คำบอกเล่าถึงสาเหตุ พฤติการณ์ของการถูกทำร้ายซึ่งผู้ถูกทำร้ายเล่าให้ผู้อื่นฟัง โดยอาจจะเป็นการระบุนามคนร้าย สาเหตุแห่งการร้าย พฤติการณ์ในการทำร้ายซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานที่ใช้ในคดีอาญาในความผิดต่อชีวิต เงื่อนไขสำคัญของการรับฟังพยานประเภทนี้คือ ต้องปรากฏว่าข้อเท็จจริงว่าผู้บอกเล่ารู้สึกตัวว่ากำลังจะตายในขณะที่บอกเล่า
เหตุผลเพราะคำพูดทั้งหลายที่เขาพูดในตอนนั้นถือได้ว่าเป็นการพูดภายใต้สถานการณ์อันศักดิ์สิทธิ์เสมือนการสาบานเพราะคนที่กำลังจะตายคงจะไม่กล่าวเท็จให้เป็นบาปกรรมติดตัวต่อไป
(ฎ.411/2513,314/2515,2414/2515,1612/2537)
ฎีกาที่ 314/2515 ผู้ตายถูกยิงที่หน้าอกและแขนยังไม่ตายทันที แต่ร้องว่าปวดแขนเหลือเกินและพูดต่อหน้าพยานโดยระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนทำร้าย มีคนหามไปลงเรือแล้วยังพูดอีกว่าคงจะต้องตายแน่ คำพูดของผู้ตายที่ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายนั้นรับฟังได้
ฎีกาที่ 1612/2537 คำบอกเล่าของผู้ตายที่บอกกับภริยาขณะที่พยานเข้าไปช่วยห้ามเลือดที่คอของผู้ตายว่าจำเลยทั้งสามเป็นผู้ทำร้ายนั้น ในขณะบอกเล่าผู้ตายยังรู้สึกตัวและไม่คิดว่าตัวเองจะตาย คำบอกเล่าจึงไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟัง
(๖) คำบอกเล่าของเจ้ามรดกในเรื่องพินัยกรรม
เป็นข้อยกเว้นในกม.คอมมอนลอร์ ยังไม่มีบรรทัดฐานในกม.ไทย
(๗) คำเบิกความของพยานในคดีก่อนหรือในกระบวนพิจารณาครั้งก่อนในคดีเดียวกัน
หมายถึงเป็นคำเบิกความของบุคคลที่เคยเป็นพยานในศาลมาแล้วครั้งหนึ่งอาจเป็นคดีเดียวกันหรือคนละคดีกับคดีในปัจจุบันก็ได้ แต่ปรากฏว่าก่อนที่พยานจะเข้าเบิกความในคดีหลังพยานถงแก่ความตายไปเสียก่อน
ฎีกาที่ 1781/2522 คดีที่ผู้เสียหายในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราให้การในชั้นสอบสวน แต่โจทก์นำมาเบิกความในชั้นศาลไม่ได้ เพราะว่าหายไปจากบ้านหาตัวไม่พบ ศาลสามารถรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายประกอบพยานโจทก์และคำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนลงโทษจำเลยได้
ข้อยกเว้นประการที่ 3 ข้อความในเอกสารมหาชน
ป.วิ.แพ่งมาตรา 127 เอกสารมหาชนซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ทำขึ้นหรือรับรอง หรือสำเนาอันรับรองถูกต้องแห่งเอกสารนั้น และเอกสารเอกชนที่มีคำพิพากษาแสดงว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้องนั้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสาร
เอกสารมหาชนมีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ
1. เป็นเอกสารซึ่งทำขึ้นหรือรับรองโดยพนักงานเจ้าหน้าที่
2. ข้อความในเอกสารนั้นเป็นเรื่องที่พาดพิงถึงประชาชน ไม่ใช่ข้อมูลเฉพาะภายในวงราชการ
3. ประชาชนมีสิทธิที่จะเข้าถึง ตรวจสอบ ใช้ อ้างอิงเอกสารนั้นได้
ข้อยกเว้นประการที่ 4 กิติศัพท์หรือข้อเท็จจริงที่เล่าลือกันทั่วไป
ตามระบบกม.คอมมอนลอร์ จะมี 3 เรื่องที่รับฟังพยานหลักฐานลักษณะนี้
· ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชีวประวัติของบุคคลหรือครอบครัว
· ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิทธิสาธารณะหรือจารีตประเพณีท้องถิ่น
· ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคลิกของบุคคลในชุมชนซึ่งเป็นลักษณะเด่น
ข้อยกเว้นประการที่ 5 คำพิพากษาในคดีเรื่องก่อน
ป.วิ.แพ่งมาตรา 145(1)(2)
ป.วิ.อาญามาตรา 46
ข้อยกเว้นประการที่ 6 คำพยานในคดีเรื่องก่อน
หมายถึงคำเบิกความของพยานในคดีอื่นที่ศาลจดบันทึกไว้
ปกติศาลในคดีปัจจุบันนั้นจะไม่รับฟังคำเบิกความของพยานที่มีการบันทึกในคดีเรื่องอื่น แต่มีข้อยกเว้น จะรับฟังได้ในคดีแพ่งและคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันยอมให้ศาลถือเอาคำเบิกความในคดีเรื่องอื่นมาเป็นพยานในคดีปัจจุบันได้(ฎ.1351/2505,1043/2531)
ข้อยกเว้นประการที่ 7 คำให้การของพยานในครั้งก่อน
หมายถึงคำบอกเล่าของพยานต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะเป็นคำบอกเล่าที่ทำไว้ต่อศาลในคดีอื่น ต่อเจ้าพนักงานหรือต่อบุคคลธรรมดา แล้วต่อมาผู้บอกเล่าได้มาเป็นพยานเบิกความในศาลเกี่ยวกับเรื่องที่เคยบอกเล่าไว้นั้น เช่น คำให้การของพยานในชั้นสอบสวนหรือคำให้การของพยานต่อคณะกรรมการสอบสวนของทางราชการหรือจดหมายที่พยานเขียนไปถึงบุคคลอื่น(ฎ.1937/2522,1189/2523,63/2533)
ฎีกาที่ 63/2533 ในชั้นสอบสวนพยานโจทก์ทั้งสองคนให้การว่าพยานอยู่ในเหตุการณ์และยืนยันว่าจำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้เสียหาย แม้คำให้การในชั้นสอบสวนจะเป็นเพียงพยานบอกเล่าและในชั้นศาลพยานทั้งสองปากเบิกความบ่ายเบี่ยงเป็นทำนองช่วยเหลือจำเลย แต่คำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุอันถือได้ว่าเป็นระยะเวลากระชั้นชิดกับเวลเกิดเหตุ พยานยังไม่น่าจะทันมีโอกาสไตร่ตรองเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น และคำให้การดังกล่าวก็สอดคล้องกับคำเบิกความผู้เสียหายจึงรับฟังประกอบคำของผู้เสียหายได้
หลักการรับฟังพยานเอกสาร(เป็นประเด็นที่สำคัญต้องทำความเข้าใจ)
พยานเอกสารหมายถึง
ข้อความใดๆในเอกสารที่มีการอ้างอิงเป็นพยานโดยอาศัยการสื่อความหมายของข้อความในเอกสารนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง
เอกสาร มีนิยามใน ปอ.
เอกสารจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
· วัตถุรองรับ
· เครื่องหมาย ข้อความหรือสัญญลักษณ์ที่เป็นการสือความหมายที่ปรากฏอยู่บนวัตถุที่รองรับ
พยานเอกสาร หมายถึง การใช้ข้อความ สัญญลักษณ์ที่อยู่บนวัตถุรองรับเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยพิสูจน์ว่ามีเหตุการณ์หรือมีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นตามที่มีการบันทึกไว้ในเอกสารนั้น
หลักสำคัญการอ้างพยานเอกสารตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 93
มาตรา 93 การอ้างเอกสารเป็นพยานนั้นให้ยอมรับฟังได้แต่ต้นฉบับเอกสารเท่านั้น เว้นแต่
(1) เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว จึงให้ศาลยอมรับฟังสำเนาเช่นว่านั้นเป็นพยานหลักฐานแห่งเอกสารนั้นได้
(2) ถ้าต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้ เพราะสูญหาย หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้
(3) ต้นฉบับเอกสารอยู่ในความอารักขาหรือในความควบคุมของทางราชการนั้น จะนำมาแสดงได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตของรัฐมนตรี หัวหน้ากรม กอง หัวหน้าแผนกหรือผู้รักษาการแทนในตำแหน่งนั้นๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีเสียก่อน อนึ่ง นอกจากศาลจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น สำเนาเอกสารหรือข้อความที่คัดจากเอกสารเหล่านั้น ซึ่งรัฐมนตรี หัวหน้ากรม กอง หัวหน้าแผนกหรือผู้รักษาการแทนในตำแหน่งนั้นๆได้รับรองถูกต้องแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันเพียงพอในการที่จะนำมาแสดง
สรุป
· ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยพยานเอกสารจะต้องอ้างเอกสารที่เป็นต้นฉบับ(ป.วิ.แพ่งมาตรา 93 หลักการจะตรงกับ ป.วิ.อาญามาตรา 238)
· การอ้างต้นฉบับเอกสารกับการนำสืบต้นฉบับเอกสาร เป็นคนละขั้นตอนกัน
· การอ้างเป็นการแสดงความประสงค์ที่จะนำสืบว่าต้องการจะนำสืบพยานชิ้นใด ทั้งนี้ การอ้างนั้น จะแสดงออกได้โดยการระบุในบัญชีระบุพยาน
· พยานเอกสาร เอกสารที่เป็นต้นฉบับกับสำเนาเอกสารในทางปฎิบัติถือว่าเป็นพยานคนละชิ้น เพราะฉะนั้น คู่ความจะต้องอ้างให้ชัดเจนว่าประสงค์จะอ้างต้นฉบับหรือสำเนา
· กม.บัญญัติว่าให้ยอมรับฟังแต่ต้นฉบับเท่านั้น โดยปกติก็ต้องอ้างต้นฉบับและนำสืบด้วยต้นฉบับเอกสาร เว้นแต่บางกรณีที่กม.ยกเว้นให้รับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานได้โดยไม่ต้องอ้างต้นฉบับ ก็อาจอ้างสำเนาในบัญชีระบุพยานเลย
ต้นฉบับ หมายถึง เอกสารที่ได้ทำขึ้นเป็นครั้งแรก
สำเนา หมายถึง การทำซ้ำจากต้นฉบับ
ประเด็นที่ว่าการทำเอกสารโดยมีคู่ฉบับหลายๆฉบับ โดยการใช้กระดาษคาร์บอนคั่น ถือว่าทั้งสองเป็นต้นฉบับ(ฎ.4529/2541)
ฎีกาที่ 4529/2541 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์จำเลยทำเอกสารสัญญาซื้อขายโดยใช้กระดาษคาร์บอนคั่นกลางเมื่อเขียนและลงชื่อแล้ง จึงมอบฉบับล่างให้โจทก์ โดยคู่กรณีถือว่าฉบับล่างเป็นหนังสือสัญญาเช่นเดียวกับฉบับบน ส่วนฉบับบนจำเลยเก็บไว้ การทำเอกสารลักษณะเช่นนี้เห็นเจตนาของคู่สัญญาได้ว่าประสงค์จะให้ถือเอาเอกสารฉบับล่างเป็นคู่ฉบับของเอกสารฉบับบนไม่ถือว่าเอกสารฉบับล่างเป็นสำเนาเพราะไม่ใช่ข้อความที่คัดลอกหรือถ่ายเอกสารมาจากต้นบับ แต่ทำขึ้นพร้อมกับเอกสารฉบับบนหรือต้นฉบับเพื่อใช้เป็นหนังสือสัญญาสองฉบับ จึงมีผลเท่ากับเป็นต้นฉบับ ดังนั้น เมื่อไม่เป็นสำเนาเอกสารแล้วก็ไม่ต้องห้ามที่ศาลจะรับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ฎีกาที่ 254/2520 สำเนาเอกสารที่จำเลยส่งเป็นพยานต่อศาลแต่ไม่ได้ส่งสำเนาให้โจทก์และไม่ได้เรียกต้นฉบับจากผู้ครอบครองเอกสารมา รับฟังเป็นพยานไม่ได้ตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 93(กรณีนี้ยังมีต้นฉบับอยู่ เพราะฉะนั้น การอ้างอิงจะต้องอ้างอิงต้นฉบับแต่ต้นฉบับอยู่ที่บุคคลอื่น ซึ่งในการนำสืบผู้อ้างจะต้องหาทางนำต้นฉบับนั้นมาสู่ศาลโดยให้ศาลออกหมายเรียกมา)
ฎีกาที่ 2453/2523 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์โดยอาศัยเอกสารหมายเลข จ.8 เป็นพยาน(เอกสารหมาย จ.8 นี้เป็นสำเนาภาพเอกสาร) เมื่อจำเลยไม่ได้ตกลงด้วยว่าสำเนาเอกสารนี้ถูกต้องจึงไม่อาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้ และเมื่อเอกสารนี้ต้องห้ามรับฟังเสียแล้ว ก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่จะวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชดใช้โจทก์อีก
ฎีกาที่ 5963/2539 การส่งเอกสารด้วยวิธีโทรสารเป็นวิทยาการแบบใหม่ เป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันทั่วไปว่าผู้ส่งจะนำต้นฉบับของเอกสารที่จะทำการส่งให้ในเครื่องโทรสารแล้วจัดการส่งไปยังเครื่องโทรสารของผู้รับโดยต้นฉบับผู้ส่งจะเป็นผู้เก็บไว้ โทรสารที่โจทก์จำเลยยอมรับความถูกต้องแล้วจึงรับฟังได้(ฎ.3395/2542 วินิจฉัยทำนองเดียวกัน)
ข้อยกเว้นซึ่งกม.ยอมให้อ้างสำเนาเอกสารเป็นพยานได้ตามมาตรา 93 ป.วิ.แพ่ง
หมายความว่า คู่ความที่จะนำสืบสามารถที่จะแสดงความประสงค์ที่จะนำสืบสำเนาเอกสารได้และสำเนาเอกสารที่อ้างอิงนั้น สามารถที่จะรับฟังได้
กรณีที่ 1 เมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้อง ก็ให้ศาลรับฟังสำเนานั้นเป็นพยานหลักฐานแห่งเอกสารนั้นได้
ฎีกาที่ 2295/2543 เอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.7 และ ล.12 เป็นเอกสารโต้ตอบกันระหว่างโจทก์และจำเลยระบุถึงความชำรุดบกพร่องของรองเท้าพิพาทและการตรวจสอบความชำรุดบกพร่องโดยตัวแทนของโจทก์และจำเลย เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับการที่โจทก์ส่งมอบรองเท้าพิพาทไม่ตรงตามแบบที่จำเลยกำหนด จึงเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับประเด็นสำคัญในคดีอันเป็นข้อที่ทำให้แพ้ชนะกันระหว่างคู่ความ แม้จำเลยจะไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่โจทก์อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 90 แต่จำเลยก็ได้ใช้เอกสารดังกล่าวในการถามค้านพยานปากแรกของโจทก์ โจทก์ย่อมมีโอกาสที่จะหักล้างข้อเท็จจริงหรือโต้แย้งดังกล่าวได้ การไม่ส่งสำเนาเอกสารของจำเลยไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลมีอำนาจรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวได้ตามมาตรา 87(2)
สรุปฎีกานี้ โจทก์ไม่ได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร คงคัดค้านเพียงว่าจำเลยไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารให้แก่โจทก์ จึงต้องถือว่าโจทก์ยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวถูกต้อง ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารดังกล่าวได้
ฎีกาที่ 4861/2543 จำเลยเบิกความยอมรับว่าเป็นผู้เขียนข้อความทั้งสองทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งเป็นผู้วาดแผนที่ไว้ในสำเนาแบบแสดงรายการที่ดินและโจทก์ก็ยอมรับไม่ได้เถียงความไม่ถูกต้องเช่นกัน ต้องถือว่าคู่ความทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว เอกสารนั้น จึงสามารถรับฟังเป็นพยานเอกสารได้ คดีนี้เข้ามาตรา 93(1) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทั้งโจทก์และจำเลยไม่มีใครโต้แย้งคัดค้านความถูกต้องแท้จริง ก็ต้องถือว่าทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้อตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว
กรณีที่ 2 ถ้าต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น ศาลจะอนุญาตให้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้
กรณีที่ 2 มีประเด็น 3 ประเด็นคือถ้าต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้เพราะ
· สูญหาย:เอกสารนั้นหาไม่พบ ไม่ปรากฏว่าอยู่ที่ใด ไม่อยู่ในที่ที่จัดเก็บและไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด
· ถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย:มีการทำให้สูญสิ้นไปหรือแม้แต่ทำให้ใช้ประโยชน์ไม่ได้ก็เป็นการทำลาย
· ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น
สูญหาย ไม่จำเป็นต้องเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย
· สูญหายเพราะความประมาทเลินเล่อของผู้ครอบครองเอกสาร ศาลก็รับฟังพยานบุคคลได้(ฎ.693/2487)
· หนังสือกู้หายไป ผู้ให้กู้สามารถนำผู้เขียนสัญญาและผู้ลงชื่อเป็นพยานมาสืบแทนได้(ฎ.34/2476)
· ถูกโจรปล้นสัญญากู้ไป ฟ้องและพิสูจน์ด้วยพยานบุคคลได้(ฎ.354/2470)
ไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น
· หมายความว่ามีอุปสรรคขัดข้องไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยที่ต้นฉบับไม่ได้สูญหายหรือไม่ได้ถูกทำลาย
· โจทก์ระบุพยานอ้างสัญญาก่อนสมรสเป็นพยานหลักฐาน โจทกืนำส่งต้นฉบับต่อศาลไม่ได้เนื่องจากโจทก์ส่งต้นฉบับไว้ที่ศาลอื่นในคดีเรื่องหนึ่ง ดังนี้ โจทก์นำสำเนาสัญญาก่อนสมรสมาสืบแทนได้(ฎ.574/2508)
· โจทก์ฟ้องอ้างสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยว่ามีหลักฐานเป็นหนังสืออยู่อำเภอ โจทก์ไม่ได้รับว่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ฉะนั้น จึงไม่ห้ามศาลที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา โจทก์ขออ้างหนังสือดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาในภายหลังได้ เมื่ออำเภอแจ้งมายังศาลว่าสัญญาประนีประนอมยอมความหาไม่พบเนื่องจากเป็นเวลานานมาแล้ว และมีการย้ายที่ว่าการอำเภอไม่อาจนำส่งได้ ย่อมถือได้ว่าเอกสารที่โจทก์อ้างสูญหาย เมื่อโจทก์อ้างพยานบุคคลและศาลยอมให้นำพยานบุคคลเข้าสืบแทน ก็ถือได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตแล้วโดยปริยาย ศาลรับฟังพยานบุคคลของโจทก์ได้(ฎ.727/2513)
· ผู้ร้องนำสืบแสดงสำเนาคำสั่งที่มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการเขตปฏิบัติราชการต่อศาล ผู้คัดค้านไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่าผู้ร้องไม่ได้ส่งต้นฉบับคำสั่งแต่อย่างใด เมื่อศาลวินิจฉัยรับฟังพยานตามสำเนาเอกสารดังกล่าวถือได้ว่าศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ในกรณีทีไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้ด้วยประการอื่นตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 93(2) แล้ว โดยผู้ร้องไม่จำต้องขออนุญาตต่อศาลก่อนและการที่ ส.หัวหน้าเขตหรือผู้อำนวยการเขตมาเบิกความยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจตามสำเนาคำสั่งจากผู้ร้องก็เป็นอันเพียงพอให้รับฟังได้โดยไม่จำต้องนำตัวผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มอบอำนาจมาสืบถึงการออกคำสั่งดังกล่าวถึง(ฎ.6061/2541)
· การที่ศาลจะอนุญาตให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนต้นฉบับที่สูญหายตามมาตรา 93(2) นั้นหาได้มีบทบัญญัติบังคับว่าต้องนำพยานบุคคลผู้รักษาต้นฉบับเอกสารมาสืบไม่ พยานบุคคลใดๆที่รู้เห็นหรือทราบความสูญหายแห่งต้นฉบับนั้นสามารถนำสืบได้ ฉะนั้น การที่โจทก์นำผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ผู้สร้างความสูญหายแห่งต้นฉบับเอกสารมาเบิกความยืนยันว่าหนังสือกู้ยืมหายไปเพราะโจทก์เก็บเอกสารไม่เป็นระเบียบและเกิดน้ำท่วมภูมิลำเนาที่อยู่ของโจทก์ย่อมเป็นการเพียงพอให้รับฟังได้ว่าหนังสือดังกล่าวได้สูญหายไปจริงและโจทก์ชอบที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้โดยไม่จำเนต้องมีหนังสือกู้ยืมมาแสดงต่อศาล(ฎ.6048/2541 น่าสนใจ)
· ปัญหาว่า การที่คู่ความจะนำสืบสำเนามาสืบแทนต้นฉบับ หรือนำพยานบุคคลมาสืบแทนต้นฉบับตามมาตรา 93(2) คู่ความไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างในคำฟ้องหรือคำให้การ(ฎ.313/2512)
ข้อยกเว้นข้อที่ 3 ถ้าต้นฉบับเอกสารอยู่ในความอารักขาหรือในความควบคุมของทางราชการ
ส่วนราชการได้แก่ราชการส่วนกลาง และราชการส่วนภูมิภาค ไม่คลุมไปถึงรัฐวิสาหกิจและราชการส่วนท้องถิ่น
· ในคดีอาญา จำเลยอ้างเอกสารซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลย และโจทก์ไม่รับรองความถูกต้อง เมื่อจำเลยไม่สืบพยานประกอบ พยานเอกสารนั้นก็รับฟังไม่ได้ แต่ถ้าพยานเอกสารนั้นเป็นหนังสือราชการ ซึ่งต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการและที่จำเลยอ้างส่งต่อศาลเป็นสำเนาซึ่งเจ้าหน้าที่ตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 93(3) รับรองความถูกต้อง ก็รับฟังได้ ไม่ต้องสืบพยานประกอบ(ฎ.1322-4/2510)
· สำเนาของเอกสารมหาชน ซึ่งเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบในการทำหรือเก็บรักษาได้รีบรองความถูกต้อง ย่อมใช้เป็นพยานได้ ไม่ต้องอ้างต้นฉบับ(ฎ.484/2486,120/2499,536/2501,225/2518)
ในคดีอาญามีหลักการทำนองมาตรา 93 ป.วิแพ่งนั้นคือมาตรา 238
มาตรา 238 ต้นฉบับเอกสารเท่านั้นที่อ้างเป็นพยานได้ ถ้าหาต้นฉบับไม่ได้ สำเนาที่รับรองว่าถูกต้องหรือพยานบุคคลที่รู้ข้อความก็อ้างเป็นพยานได้
ถ้าอ้างหนังสือราชการเป็นพยาน แม้ต้นฉบับยังมีอยู่จะส่งสำเนาที่เจ้าหน้าที่รับรองว่าถูกต้องก็ได้ เว้นแต่ในหมายเรียกจะบ่งไว้เป็นอย่างอื่น
· จำเลยอ้างต้นฉบับรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันของสถานีตำรวจเป็นพยานชั้นศาลเพื่อประกอบข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำเลยถูกจับอยู่ที่สถานีตำรวจตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุเรื่อยมาจนถึงวันเกิดเหตุ แต่ผู้บังคับกองตำรวจคัดสำเนาส่งมาโดยรับรองว่าเป็นสำนวนอันแท้จริง ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้คัดค้านว่าเจ้าหน้าที่คัดสำเนาผิดจากต้นฉบับ ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารนั้นเป็นพยานลักฐานได้(ฎ.1719/2494)
· สำเนารายงานของสารวัตรตรวจท่าเรือในต่างประเทศซึ่งรายงานว่ามีเรือลำใดเข้าออกจากท่าเมื่อใด เมื่อปรากฏว่าสำเนารายวานนั้นมีผู้รับรองว่าเป็นสำเนาอันถูกต้อง ทั้งกงสุลใหญ่ของไทยในเมืองต่างประเทศนั้นก็เป็นผู้นำส่งเอกสารนั้นมาในทางราชการ อันเป็นการรับรองอยู่ในตัวว่าเป็นสำเนาถูกต้องเช่นนี้ย่อมรับฟังพยานหลักฐานนั้นได้ตามมาตรา 238(ฎ.1868-9/2494)
· ในคดีอาญาจำเลยอ้างเอกสารซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยและโจทก์ไม่รับรองความถูกต้อง เมื่อจำเลยไม่สืบพยานประกอบพยานเอกสารนั้นก็รับฟังไม่ได้ แต่ถ้าพยานเอกสารนั้นเป็นหนังสือราชการต้นฉบับอยู่ในความครอบครองของทางราชการ และที่จำเลยอ้างส่งต่อศาลเป็นสำเนาซึ่งเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องก็รับฟังได้ไม่ต้องสืบพยานประกอบ(ฎ.1322-4/2510)
· โจทก์ระบุคำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนไว้ในบัญชีระบุพยานโจทก์แล้ว ในขณะที่พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นพยานโจทก์เข้าเบิกความ โจทก์จึงส่งคำให้การจำเลยชั้นสอบสวนนี้ต่อศาลประกอบคำพยาน ศาลได้ให้ตัวจำเลยตรวจดูแล้ว ดังนี้ จึงรับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยดังกล่าวไว้เป็นพยานหลักฐานได้ ไม่จำต้องคัดสำเนาให้จำเลยก่อนวันพิจารณา เพียงแต่ให้จำเลยดู หรืออ่านให้ฟังก็พอแล้ว(ฎ.1068/2496)
แนวคิด-เหตุผลของกม.
1.บทตัดพยานหรือห้ามรับฟังพยานตาม ป.วิ.แพ่งมาตรา 94 เป็นหลัก กม.ปิดปากตามหลักกม.อังกฤษ เพื่อให้สอดคล้องกับกม.สารบัญญัติว่าด้วยแบบและหลักฐานแห่งนิติกรรมสัญญา(ไทย)การรับสภาพหนี้ไม่มีกม.บัญญัติบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง(ฎ.666/2541,1156/2537)
2.เพื่อให้เกิดความแน่นอนแก่นิติกรรมสัญญาที่ได้ทำกันไว้เป็นหนังสือ(อังกฤษ)
มาตรา 94 เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
แต่บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93 และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด
ในการพิจารณาแบ่งประเด็นการพิจารณาเป็น 3 ประเด็นใหญ่ ดังนี้ |
ประเด็นที่ 1 กรณีใดบ้างที่ห้ามสืบพยานบุคคล |
ประเด็นที่ 2 เนื้อหาสาระของการห้ามสืบพยานบุคคล |
ประเด็นที่ 3 มีกรณีใดบ้างที่ยกเว้นให้สืบพยานบุคคลได้ |
Wynn Casino & Resort - Mapyro
ReplyDeleteThe 포항 출장샵 Wynn Resort is a luxurious 4-star hotel located in Las Vegas, 문경 출장샵 within a 15-minute drive of LINQ Promenade and 과천 출장샵 Sands Expo 안산 출장마사지 Convention 당진 출장마사지 Center. This 5-star resort